หวัง ซิง (Wang Xing) หรือ ซิง ซิง (Xing Xing) นักแสดงชาวจีนวัย 31 ปี ที่หายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2568 ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามตัวกลับมาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หยาง เจ๋อฉี (Yang Zeqi) นายแบบชาวจีน ซึ่งหายตัวไปในบริเวณเดียวกันเป็นเวลากว่า 20 วันแล้ว ยังคงไร้ร่องรอย
สื่อจีนและเวียดนามเริ่มรายงานข่าวนี้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา โดยญาติของนายแบบได้โพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านแพลตฟอร์ม เหว่ยป๋อ ระบุว่า หยาง เจ๋อฉี หายตัวไปหลังจากเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์และขาดการติดต่อไป ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2567 ตามเวลาไทย ซึ่งเป็นวันที่เขาส่งข้อความหาเพื่อนว่ารู้สึกเศร้า ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่มีใครสามารถติดต่อได้
ล่าสุด เมื่อญาติของหยาง เจ๋อฉี เห็นข่าวเกี่ยวกับ หวัง ซิง จึงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกัน และก่อนหน้านี้ ญาติได้เข้าแจ้งความกับตำรวจจีน รวมถึงสถานทูตจีนในไทยและเมียนมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
ปัญหาการหลอกลวงคนจีนโดยคนจีนเอง แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศจีน โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกของไทย ซึ่งติดกับเมียนมา ถูกใช้เป็นเส้นทางขนส่ง “เหยื่อ” ที่ถูกหลอกไปยังพื้นที่ที่กฎหมายไทยไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้ว่าบางกรณีอาจได้รับการช่วยเหลือผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวในระดับพื้นที่ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณี
ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง แต่ยังรวมถึงคนไทย อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยเฉพาะชาวจีนที่สามารถสื่อสารทั้งภาษาจีนและอังกฤษ มักถูกล่อลวงไปทำงานผ่านการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก TikTok และ WeChat
เหยื่อมีหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่วัยทำงานที่ตกงาน นักศึกษาจบใหม่ ไปจนถึงเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กลุ่มนายหน้ามักหลอกว่าเป็นงานสบาย รายได้ดี ไม่ต้องออกแรงหนัก แต่แท้จริงแล้วกลับมีรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อน หากเป็นเหยื่อชาวจีนที่อยู่ในกลุ่มโมเดลลิ่ง หรือดารา มักจะได้รับการติดต่อผ่าน WeChat โดยผู้ว่าจ้างอ้างว่าเป็นบริษัทจัดหานักแสดง พร้อมออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ทั้งหมด หลังจากเดินทางมาถึงสนามบิน ก็จะถูกส่งต่อข้ามแดนไปยังเมียนมา
เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2567 เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ (Civil Society Network for Victim Assistance in Human Trafficking) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในฐานอาชญากรรมข้ามชาติทางอิเล็กทรอนิกส์ ในพื้นที่เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย
ข้อมูลระบุว่า มีชาวต่างชาติ 110 คน จาก 9 ประเทศตกเป็นเหยื่อ โดยแบ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ 55 คน, ลาว 19 คน, บังกลาเทศ 13 คน, เอธิโอเปีย 10 คน, ปากีสถาน 7 คน, เคนยา 3 คน, คาซัคสถาน 1 คน, อุซเบกิสถาน 1 คน และโมร็อกโก 1 คน ทั้งนี้ ยังมีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) วาระปี 2568-2570
หน่วยงานความมั่นคงรายงานว่า หลังจากกลุ่ม “จีนเทา” ล่มสลายในเมืองสีหนุวิลล์ กัมพูชา และเมืองเล่าก๋ายในเมียนมา ซึ่งถูกกวาดล้างช่วงปลายปี 2565-2566 พบว่ามีเหยื่อค้ามนุษย์จาก 21 ประเทศ รวมกว่า 6,000 คน บางส่วนถูกกักขังและเดินทางกลับประเทศไม่ได้ โดยประมาณการว่า มากกว่าครึ่งเป็นชาวจีนราว 3,900 คน
ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ตรงข้ามเมืองเมียวดี ฝั่งเมียนมา ถือเป็นพื้นที่สำคัญ เนื่องจากมีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กลุ่มแก๊งสแกมเมอร์ใช้เป็นฐานปฏิบัติการ โดยมีกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA เป็นผู้ดูแล ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนจีนเทาได้ขยายเครือข่ายค้ามนุษย์ในรูปแบบบริษัทที่มีการจ่ายเงินเดือน หากพนักงานสามารถหลอกเหยื่อได้มาก ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น แต่หากทำยอดไม่ได้ อาจถูกขายต่อหรือถูกบังคับให้ไถ่ตัวเอง
“มีทั้งคนที่สมัครใจและถูกหลอกมาทำงานเป็นสแกมเมอร์ เล่นพนันออนไลน์ หรือคอลเซ็นเตอร์” แหล่งข่าวระบุ โดยเฉพาะชายแดนด้าน จ.ตาก ที่พบว่ามีบริษัทประเภทนี้ถึง 30 แห่ง แต่เดิม เส้นทางลักลอบเดินทางจะผ่าน จ.เชียงราย อ.เชียงแสน เชียงของ และ อ.เวียงแก่น ซึ่งติดชายแดนไทย-ลาว แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เส้นทาง อ.แม่สอด เพราะมีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เอื้อต่อกิจกรรมเหล่านี้
แหล่งข่าวยังย้ำว่า อาชญากรรมข้ามแดนนี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐไทยบางส่วนเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลัง โดยร่วมมือกับกลุ่มชนกลุ่มน้อย “หากต้องการแก้ไขปัญหานี้จริง ๆ สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงตัดสัญญาณโทรศัพท์หรือกระแสไฟฟ้า กลุ่มจีนเทาก็จะไม่สามารถขยายตัวได้ หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ถูกบั่นทอน”
“ผู้เสียหายที่ถูกหลอกมา ไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือชาติใดก็ตาม มีคนไปรับตัวทั้งหมด ลองถามว่าเป็นคนไทยหรือไม่ คนเมียนมาไปรับเองได้หรือ? โดยเฉพาะช่วงกลางคืน หรือจุดพักในหมู่บ้านริมชายแดน ตำรวจ ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ จะไม่รู้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?” แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกต